พระบรมมหาราชวังและ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เสร็จขึ้นครองราชสมบัติ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้ทรงสถาปนา
พระบรมมหาราชวัง ขึ้น เมื่อ วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๒๕
โดยมีที่ตั้งอยู่บนฝั่ง ตะวันออกของ แม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับ
พระราชวังเดิม ของกรุงธนบุรี
พระบรมมหาราชวังนี้มีเนื้อที่ ๑๕๒ ไร่ ๒ งาน รวมความยาว
โดยรอบสี่ด้านกำแพง ได้ทั้งหมด ๑,๙๑๐ เมตร ประกอบไปด้วย
ป้อมปราการ กับประตูพระราชวังโดยรอบ ภายในของ
พระบรมมหาราชวัง แบ่งเป็นสี่ส่วน คือ พระราชฐานชั้นนอก
พระราชฐานชั้นกลาง พระราชฐานชั้นใน และ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ลักษณะแบบแผนการก่อสร้าง คล้ายคลึงกับ พระบรมมหาราชวังเก่า
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาคือ มีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อยู่ในบริเวณวัง
เหมือนกับ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
พระอารามหลวง ในเขตวัง นี้นับเป็นแบบธรรมเนียมปฏิบัติ
ที่มีมาแต่โบราณ
พระที่นั่งวิมานเมฆ
พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรก
ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕
ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ภายในสวนดุสิต
( “สวนดุสิต” เป็นอุทยานสถาน ที่สร้างขึ้นเมื่อ พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนิน
กลับจากประพาสทวีปยุโรปในปี พุทธศักราช ๒๔๔๐
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อที่สวนและนา
ระหว่างคลองผดุงกรุงเกษม จรดคลองสามเสน ด้วยพระราชทรัพย์
ส่วนพระองค์) เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๓ มีพระบรมราชโองการ
ให้รื้อย้ายพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ จากพระจุฑาธุชราชฐาน
ณ เกาะสีชัง มาปลูกสร้างขึ้นใหม่โดย มีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัตติวงศ์ ทรงกำกับการออกแบบ และ
เมื่อแล้วเสร็จจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลอง
พระที่นั่งวิมานเมฆเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๔๔
พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นพระที่นั่งที่สร้างด้วยไม้สักทองที่ใหญ่
ที่สุดในโลก มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่งดงามประณีตและ
ได้รับอิทธิพลการก่อสร้างแบบตะวันตก องค์พระที่นั่งเป็นรูปอักษร
ตัวแอลในภาษาอังกฤษ คือสร้างเป็นรูปสองแฉกตั้งฉากกัน
แต่ละด้านยาว ๖๐ เมตร สูง ๒๐ เมตร เป็นอาคาร ๓ ชั้น
เฉพาะส่วนที่ประทับซึ่งเรียกว่า “แปดเหลี่ยม” มี ๔ ชั้น
ชั้นล่าสุดก่ออิฐ ถือปูน ชั้นถัดขึ้นไปสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐาน
จากพระบรมมหาราชวัง มาประทับเป็นการถาวร ณ
พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นเวลาถึง ๕ ปี จนการก่อสร้างพระที่นั่ง
อัมพรสถานเสร็จสมบูรณ์ ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๙
จึงทรงย้ายไปประทับ ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน
เมื่อพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)
เสด็จสวรรคตในปี พุทธศักราช ๒๔๕๓ พระที่นั่งวิมานเมฆก็ปิดร้างลงเพราะ เจ้านายฝ่ายใน ต้องเสด็จกลับมาประทับในพระบรมมหาราชวังตามราชประเพณี ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๓ ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๖)พระองค์ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯให้สมเด็จ พระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา เสด็จมาประทับ ณ พระที่นั่งวิมานเมฆ และเมื่อพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต สมเด็จพระนางเจ้า อินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายา ได้ทรงย้ายไป ประทับที่ พระตำหนักในสวนหงส์ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ ของพระที่นั่งวิมานเมฆ
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระที่นั่งวิมานเมฆก็มิได้ ใช้เป็นพระราชฐาน ที่ประทับ ของเจ้านายพระองค์ใดอีก ได้แต่ปิดร้าง และทรุดโทรม ตามกาลเวลา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ ๗) แม้ว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณะ ซ่อมแซมพระที่นั่งวิมานเมฆหลายครั้ง เช่น การซ่อมเปลี่ยนสายไฟฟ้า ภายในองค์พระที่นั่ง การซ่อมเสามุข ศาลาท่าน้ำ เป็นต้น แต่ในที่สุด ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นต้นมา พระที่นั่งวิมานเมฆก็ใช้เป็นเพียง สถานที่เก็บราชพัสดุ ของสำนักพระราชวังตลอดมาถึง ๕๐ ปี
จนกระทั่งปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ในมหามงคลสมัยสมโภช
กรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงสำรวจและ พบว่าพระที่นั่งวิมานเมฆ ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มีลักษณะ ทางสถาปัตยกรรม ที่ประณีตงดงาม และยังมีภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ รวมถึง ศิลปวัตถุส่วนพระองค์ เป็นจำนวนมาก จึงทรงขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บูรณะซ่อมแซม เพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเพื่อเป็น มรดกของชาติสืบไป พระที่นั่งวิมานเมฆนี้ มีห้องจัดแสดงรวมทั้งสิ้น ๓๑ ห้อง การจัดแสดง บางห้องยังคงลักษณะบรรยากาศในอดีตไว้ เช่น หมู่ห้องพระบรรทม ท้องพระโรงและห้องสรง เป็นต้น บางห้องจัดแสดงศิลปวัตถุแยกตาม ประเภท เช่น ห้องจัดแสดงเครื่องเงิน ห้องจัดแสดงเครื่องกระเบื้องลายคราม ห้องจัดแสดงเครื่องแก้วเจียระไน และห้องจัดแสดงเครื่องงา เป็นต้น
นอกจากพระที่นั่งวิมานเมฆภายในบริเวณสวนดุสิตหรือวังสวนดุสิตนี้
(ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามใหม่ว่า “พระราชวังดุสิต” และเรียกขานนามนี้ มาจนถึงปัจจุบัน) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดิน สำหรับสร้างพระตำหนัก และตำหนักที่ประทับ ของพระมเหสี พระเจ้าลูกเธอ และเจ้าจอมมารดาเป็นส่วนๆ
และพระราชทานชื่อสวน คลอง ประตู และ ถนนต่าง ๆ ตามชื่อเครื่องลายครามของจีน ที่เรียกกันว่า “เครื่องกิมตึ๋ง” ซึ่งนิยมสะสมกันในสมัยนั้น ปัจจุบันหมู่พระตำหนัก ของพระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายในดังกล่าว
ได้เปิดจัดแสดง พร้อมด้วยโรงรถม้าพระที่นั่งให้ประชาชน ได้เข้าชมด้วยเช่นกัน
พระราชวังบางปะอิน
พระราชวังบางปะอิน
ประวัติของพระราชวังบางปะอิน มีความเป็นมาตามบันทึก
ในพระราชพงศาวดาร ครั้ง กรุงศรีอยุธยาว่า เมื่อพระเจ้าปราสาททอง ขึ้นครองราชย์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นมา ในปี พ.ศ. ๒๑๗๕ บนเกาะบางปะอิน ตรงบริเวณนิวาสสถานเดิมของมารดา พระราชทานชื่อว่า “วัดชุมพลนิกายาราม” แล้วสร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งขึ้นริมสระน้ำนั้น พระราชทานนามว่า
“พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์” ขึ้นบนเกาะเลนหรือ เกาะบางนางอิน ในลำแม่น้ำเจ้าพระยาใช้ เป็นที่สำหรับเสด็จประพาส
พระราชวังแห่งนี้จึงเป็นที่ประพาส สำราญพระราชหฤทัยของ
พระเจ้าแผ่นดิน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตลอดมา ต่อมาจึงได้รับการฟื้นฟู ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชทาน นามใหม่ว่า เกาะบางปะอิน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตำหนัก ขึ้น ๓ หลัง และปลูกพลับพลาโถง ที่ไร่แตงอีกหลังหนึ่ง เป็นที่ประทับระหว่าง เสด็จประพาสกรุงเก่า ในลำน้ำเจ้าพระยา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระองค์ทรงพิจารณา เห็นว่า พระตำหนักที่เกาะบางปะอิน มีความสมบูรณ์ ที่จะสร้างพระราชวัง สำหรับแปรพระราชฐาน จึงทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ขึ้นดังที่ปรากฏ ให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
พระราชวังบางปะอิน แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ
เขตพระราชฐานชั้นนอก และเขตพระราชฐานชั้นใน
พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
ณ ดินแดน ที่เป็นเสมือนทิพย์วิมาน ในเทพนิยาย หรือสวรรค์บนพื้นแห่ง พิภพยามเช้าในฤดูหนาว กลุ่มสายหมอก จะลอยพาดผ่านยอดดอยแห่ง พระตำหนักฯ หมู่มวลดอกไม้นานาพันธุ์ จะคลี่กลีบดอกงามรับสายหมอก และท่ามกลางแสงแห่งตะวัน ดอกกุหลาบหลากสีต่างเบ่งบาน กลีบอันสดใส ดูแล้วงดงาม ซึ่งยากยิ่งในอัน ที่จะพบได้จากที่แห่งใด ในผืนแผ่นดินไทย นอกจาก ณ พระตำหนักแห่งนี้ “พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์”
ดุจลอยฟ้าดั่งทิพย์วิมานทอง แห่งอินทร์พรหม
สองเศกสนององค์ท้าวไท แสนเพลินสุขสม สดับแต่เสียงเพลง
วิหคร้องมาไกล ช่วยกล่อมขวัญทุกวันเพลิดเพลินสมใจ
ก่อนนี้เคยอยากชมเขางาม ตามหุบผาพงไพร ได้มาเห็น”ภูพิงค์”
แพรวพราย สวยจริงดอกไม้สะพรั่งบานทั้งปี ดูหลากสีเรียงราย
โชยกลิ่นหอมอวลอบ ชื่นใจ สมใจก่อนเคยชมเขางาม
ยามอ่อนแสงอำไพ ได้มาถึงดอยปุยเย็นกายสุขใจจริง เด่นแท้ตระหง่าน
บานท้าลม ชมอ้างว้างเดียวดาย คราหมดแสงดวงสุริยา ดุจลอยฟ้า
อยู่ชิดเดือนเคียงดาว หากลมพัดหนาว ปวดร้าวคราวขึ้นมา
สำราญนั่งล้อม ไฟอุ่นฟังเสียงเพลง ชมหมู่แม้วลีลา ช่วยลืมหนาว
ให้เราเพลิดเพลิน “ เพลินภูพิงค์”
พระราชนิเวศน์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ความสูงจากระดับน้ำทะเล ๑,๓๗๓.๑๙๗ เมตร ในเนื้อที่โดยรอบพระตำหนักประมาณ ๔๐๐ ไร่ นั้น แบ่งเป็นบริเวณที่ เปิดให้นักท่องเที่ยว ได้ชื่นชมประมาณ ๒๐๐ ไร่ คำว่า “ดอยบวกห้า” เป็นชื่อเรียก ตามคำพื้นเมือง ดอยหมายถึงภูเขา บวกหมายถึง หนองน้ำ ห้าหมายถึงต้นหว้า หมายความว่า ที่ยอดดอยแห่งนี้มี หนองน้ำอุดมไปด้วยต้นหว้า ขึ้นปกคลุม ทั่วบริเวณหนองน้ำนั้น พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ในปีพ.ศ. ๒๕๐๔ และพระราชทานนาม พระตำหนักองค์นี้ว่า ภูพิงคราชนิเวศน์ โดยทรงเลือกจาก หนึ่งใน ๒ ชื่อ ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อครั้งเป็นที่ พระศาสนโสภณ เป็นผู้คิดชื่อถวาย คือ “พิงคัมพร” กับ “ภูพิงคราชนิเวศน์” พระตำหนักแห่งนี้ ใช้เป็นที่ประทับในโอกาส ที่เสด็จ พระราชดำเนิน แปรพระราชฐาน มาประทับแรม ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทรงงาน และเยี่ยมเยียนราษฎร ในเขตภาคเหนือ รวมทั้งเพื่อรับรอง พระราชอาคันตุกะ ที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี กับไทยในโอกาสต่างๆ การที่ทรงเลือกสร้าง ที่จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากมีอากาศเย็นสบาย ภูมิประเทศสวยงาม อีกทั้งเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน ผู้คนพลเมืองยังดำรงรักษา จารีตขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามไว้
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ มีลักษณะเป็นแผนผัง แบบเรือนไทยภาคกลางที่เรียกว่า “เรือนหมู่ ” มีรูปแบบสถาปัตยกรรม เป็นไทยประเพณีประยุกต์ ก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูงหลังคาทรงไทย ภายในประกอบไปด้วยท้องพระโรง ห้องเสวย ห้องบรรทม และห้องสรง สำหรับพระราชอาคันตุกะ ตั้งอยู่คนละด้านมีเฉลียงใหญ่ และพลับพลาหอนกเป็นที่ประทับ ทอดพระเนตรทัศนียภาพ ของเมืองเชียงใหม่ ชั้นบนเป็นที่ประทับ ชั้นล่างเป็นที่อยู่ของมหาดเล็ก และคุณข้าหลวง ออกแบบแปลน โดยหม่อมเจ้า สมัยเฉลิม กฤดากร สถาปนิกพิเศษ กรมศิลปากร ออกแบบรูปด้าน โดยหม่อมราชวงศ์ มิตรารุณ เกษมศรี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ดำเนินการก่อสร้าง โดยมีหม่อมเจ้า สมัยเฉลิม กฤดากร เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง หม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี และนายประดิษฐ์ ยุวพุกกะ จากกองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากรเป็นผู้ช่วย และได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้พลเอกหลวงกัมปนาท แสนยากร องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ ในการวางศิลาฤกษ์พระตำหนักเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลา ๑๐ นาฬิกา ๔๙ นาที
การก่อสร้างพระตำหนักใช้เวลา ๕ เดือนก็แล้วเสร็จ จากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี เป็นทั้งสถาปนิก และมัณฑนากรออกแบบ ตกแต่ง ภายในพระตำหนัก ทั้งในส่วนที่ประทับและส่วนที่ใช้รับรอง พระราชอาคันตุกะทั้งหมด โดยออกแบบให้เป็นแบบไทยประยุกต์ ดัดแปลงให้เหมาะสมกับการใช้แบบสากลมากขึ้น และได้ใช้พระตำหนัก ในการรับรอง พระราชอาคันตุกะ เป็นครั้งแรกคือ สมเด็จพระเจ้าเฟรดเดริคที่ ๙ และ สมเด็จพระราชินีอินกริต แห่งเดนมาร์ก เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๐๕ หลังจากนั้นก็มีประมุขของประเทศต่าง ๆ เป็นพระราชอาคันตุกะ มาประทับและพักที่ พระตำหนักภูพิงค์ฯ ในเวลาต่อมา อีกหลายประเทศ เช่นสมเด็จพระนางเจ้าจูเลียน่า และเจ้าชายเบอร์ฮารท์ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวง และพระราชินีฟาบิโอล่า แห่งประเทศเบลเยี่ยม ฯลฯ เป็นต้น ส่วนตัวอาคารอื่น ๆ ได้มีการก่อสร้าง เพิ่มเติมขึ้นภายหลัง
พระราชวังสนามจันทร์
พระราชวังสนามจันทร์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐม ห่างจากกรุงเทพฯ ลงไปทางใต้ ๕๖ กิโลเมตร บริเวณที่เป็นพระราชวังสนามจันทร์ อยู่ห่างจากองค์พระปฐมเจดีย์ไปทางตะวันตก ประมาณ ๑ กิโลเมตร ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณซึ่งเดิมเรียกว่าเนินปราสาท สันนิษฐานว่าเดิมคงเคยเป็นพระราชวังของกษัตริย์ในสมัยโบราณ ใกล้กับเนินปราสาทมีสระน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกขานกันมาแต่เดิมว่า สระน้ำจันทร์
( ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่าสระบัว) อยู่หน้าโบสถ์พราหมณ์
ครั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ มีพระราชประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังที่ประทับขึ้น ณ เมืองนครปฐม สำหรับเป็นที่ประทับแปรพระราชฐาน ในโอกาสเสด็จฯ มาสักการะองค์พระปฐมเจดีย์ และเพื่อประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ ทรงเลือกจังหวัดนครปฐม ด้วยเหตุที่ทรงคุ้นเคยกับภูมิประเทศของเมืองนี้ ทรงเห็นว่าบริเวณเนินปราสาทนั้นเป็นทำเลที่เหมาะ จึงทรงขอซื้อที่ดินจากราษฎรที่อยู่รอบๆ เนินปราสาท เพื่อจัดสร้างพระราชวังขึ้น รวมเนื้อที่ทั้งสิ้น ๘๘๘ ไร่ ๓ งาน ๒๔ วา แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงพิทักษ์มานพ ซึ่งต่อมาได้เลื่อนยศเป็น พระยาวิศุกรรมศิลป์ประสิทธิ์ (น้อย ศิลปี) เป็นผู้ออกแบบและดำเนินการก่อสร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้น เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ ซึ่งตรงกับปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ การก่อสร้าง พระที่นั่ง และพระตำหนักต่างๆ ได้ดำเนินการติดต่อกันนานถึง ๔ ปี จึงแล้วเสร็จในปีพุทธศักราช ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระราชทานนามว่า “พระราชวังสนามจันทร์“
พระราชวังสนามจันทร์ นอกจากเป็นที่แปรพระราชฐานแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังมีพระราชดำริในการสร้างพระราชวังสนามจันทร์ไว้เป็นที่มั่น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรับวิกฤตการณ์ของประเทศ อันอาจเกิดขึ้นได้ เพราะพระราชวังสนามจันทร์ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม และทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับซ้อมรบเสือป่า
เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๖ คณะกรรมการอำนวยการบูรณะพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นองค์ประธาน ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย นายนาวิน ขันธหิรัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ลิขิต กาญจนาภรณ์ รองอธิการบดีวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ได้น้อมเกล้าฯ ถวายคืนพระราชวังสนามจันทร์ โดยส่งมอบพระที่นั่ง พระตำหนักต่างๆ และเรือนข้าราชบริพาร คืนให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ดูแลตามพระราชดำริ ในสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ในปัจจุบันสำนักพระราชวังได้เปิดให้เข้าชม พระที่นั่งพิมานปฐมและห้องพระเจ้าภายในพระที่นั่งพิมานปฐม พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ เทวาลัยคเณศร์ พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ พระตำหนักทับขวัญ และอนุสาวรีย์ย่าเหล
พระตำหนักประทับแรมเฉลิมพระเกียรติ
อำเภอปากพนัง
พระตำหนักประทับแรมเฉลิมพระเกียรติ
อำเภอปากพนัง ตั้งอยู่ที่ ตำบลหูล่อง อำเภอปากพนัง
จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพระตำหนักแห่งแรก
และแห่งเดียวของประเทศ ที่ก่อสร้างขึ้นจาก
ความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนชาวไทย
เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
อันล้นพ้นที่พระองค์ท่านทรงเมตตาต่อเหล่าพสกนิกร
ชาวปากพนังเป็นที่ยิ่งในอดีต อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช
และในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง “พรุควนเคร็ง”
ประสบกับปัญหาเดือดร้อนจากความเสื่อมโทรม
ของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก ทั้งอุทกภัย
การขาดแคลนน้ำจืด ปัญหาดินเปรี้ยว ปัญหาน้ำเค็ม
รุกล้ำพื้นที่เกษตร ผลผลิตตกต่ำ ซึ่งก่อให้เกิด
ความทุกข์ยากแร้นแค้น ส่งผลถึงการอพยพแรงงาน
และการโยกย้ายถิ่นฐาน จากดินแดนซึ่งเคยเป็น
“อู่ข้าวอู่น้ำ” มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งพื้นที่นาและในแม่น้ำ กลับกลายเป็นพื้นที่ที่มีความยากจนมากที่สุดของประเทศ ด้วยพระเมตตาห่วงใยในความเป็นอยู่ของราษฎรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานแนวทางต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังและก่อเกิดเป็น “โครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ซึ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรทั้งระบบลุ่มน้ำ ครอบคลุมพื้นที่กว่า ๑.๙ ล้านไร่โดยสร้าง “ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ”หรือเขื่อนปากพนัง เพื่อป้องกันน้ำเค็มรุกล้ำและเก็บกักน้ำจืดพร้อมกับจัดระบบการกระจายน้ำเพื่อการเพาะปลูกอีกทั้งยังพัฒนาระบบชลประทาน การเกษตร พัฒนาอาชีพและชุมชนในด้านต่างๆ เพื่อให้ราษฏรที่เคยอพยพโยกย้าย
ไปอยู่ต่างถิ่นได้กลับมาประกอบอาชีพหลักในภูมิลำเนาเดิม
ใส่ความเห็น